โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ ยังไม่มีเนื้อหาให้รู้เท่าไรนัก เท่าที่มองเห็นจากแบบอย่างก็เป็นการกลับมาสวมบท โจ๊กเกอร์ หรือ อาร์เธอร์ เฟล็กซ์ ของ วาคีน ฟินิกซ์ อีกรอบ พร้อมทั้งการเปิดตัว เลดี้ กาก้า กับหน้าที่ ฮาร์ลีย์ ควินน์ หญิงสาวที่เป็นจุดเริ่มแรกความรักสุดวิปริตที่เกิดขึ้นในโรงหมอจิตเวชศาสตร์อาร์กหมูแฮม ที่เมืองก็อตแธมนั่นเอง ผสมกับเพลง “What the World Needs Now Is Love” ที่ถูกดัดแปลงแก้ไขให้กับโทนของหนังได้อย่างพอดี ภาพยนตร์เรื่อง “Joker: Folie À Deux” จะมองเห็นอาร์เธอร์ เฟล็คถูกขังอยู่ที่ อาร์คัม เพื่อคอยการสืบสวนจากเรื่องราวก่อคดีของเขาในร่างโจ๊กเกอร์
ระหว่างที่กำลังต่อสู้กับการมีท่าทางสองด้านของตน อาร์เธอร์มิได้เสียศูนย์เพราะเหตุว่าความรักเพียงอย่างเดียว แต่ว่ายังได้เจอกับเพลงที่อยู่ในตัวเขาตลอดมาด้วย ภาพยนตร์ยังแสดงนำโดย เบร็นดินแดน กลีสัน ผู้ชิงรางวัล Oscar (“The Banshees of Inisherin”) โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ และก็แคทเธอรีน คีเนอร์ (“Get Out,” “Capote”) ร่วมกับซาซี่ บีตซ์ ผู้กลับมาสวมบทบาทเดิมจากเรื่อง “Joker” ฟิลลิปส์เคยเข้าชิงรางวัล Oscars จากการควบคุมฯ เขียนบทฯ แล้วก็อำนวยการสร้างฯ เรื่อง “Joker” กระทำดูแลฯ เรื่อง “Joker: Folie À Deux” จากบทภาพยนตร์ของสหายร่วมงานผู้เข้าร่วมแข่งขันรางวัล Oscar
สก็อตต์ ซิลเวอร์ และก็ ฟิลลิปส์ สร้างอิงจากผู้แสดงของดีซี โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ
ภาพยนตร์อำนวยการสร้างฯ โดย ฟิลลิปส์ ผู้ชิงรางวัล Oscar เอ็มม่า ทิลลินเกอร์ คอสคอฟฟ์ แล้วก็ โจเซฟ การ์เนอร์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย ไมเคิล อี. อุสลาน, หน้าจอร์เจีย ค้างแคนเดส, ซิลเวอร์, มาร์ค เฟรดเบิร์ก รวมทั้ง เจสัน รูเดอร์ ฟิลลิปส์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากการดูแล เขียนบท แล้วก็อำนวยการสร้าง “Joker” รวมทั้งยังคงดูแลเรื่อง “Joker: Folie À Deux” จากบทภาพยนตร์โดย สก็อต ซิลเวอร์ แล้วก็ ฟิลลิปส์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ โดยอิงจากนักแสดงจาก DC ภาพยนตร์หัวข้อนี้อำนวยการสร้างโดยฟิลลิปส์, เอ็มมา ทิลลิงเกอร์ คอสคอฟฟ์ ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ รวมทั้ง โจเซฟ การ์เนอร์ Lady Gaga ปฏิบัติภารกิจเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรี ผู้อำนวยการผลิตบริหารภาพยนตร์ เป็นต้นว่า ไมเคิล อี. อุสลาน, หน้าจอร์เจีย ค้างแคนเดส, ซิลเวอร์, มาร์ค ฟรีดเบิร์ก รวมทั้งเจสัน รูเดอร์
อาร์เธอร์ทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ และก็ไขว่คว้าตามหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นบิดาซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นักธุรกิจมหาเศรษฐี โธมัส เวย์น ไปจนกระทั่งนักจัดรายการโทรทัศน์เมอร์เรย์ แฟรงค์ลิน เขาพบว่าตนเองอยู่จุดหมายระหว่างโลกที่ข้อเท็จจริงกับความบ้าคลั่ง การตัดสินใจที่บกพร่องเพียงแต่ครั้งเดียวแปลงเป็นชนวนเหตุที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดสถานะการณ์ร้ายแรงมากมายก่ายกอง การขยายแนวความคิด “โจ๊กเกอร์ ” มิได้เป็นเพียงแต่การสำรวจจิตใจที่คุ้มคลั่งของโจ๊กเกอร์รวมทั้งผลพวงที่เขามีต่อคนที่อยู่รอบข้าง แม้กระนั้นยังสะท้อนถึงความหมายเชิงลึกของความบ้าคลั่งในบริบททางด้านสังคมแล้วก็จิตวิทยา
โจ๊กเกอร์เป็นผู้แทนของความบ้าคลั่งที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ เขาท้ากฎที่ต้องปฏิบัติแล้วก็ความมีระเบียบของสังคม โจ๊กเกอร์มิได้อยากได้เพียงทำลาย แม้กระนั้นอยากได้พิสูจน์ให้มีความคิดเห็นว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในสังคมนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นบ้าได้เหมือนกันกับเขา ความนึกคิดนี้ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในฉากต่างๆอย่างเช่นในรูปภาพยนตร์ The Dark Knight (อัศวินราตรี) ที่โจ๊กเกอร์เพียรพยายามจะมีผลให้พลเมืองทั่วๆไปหันมาต่อสู้คุ้นเคย ด้วยการตั้งสถานการณ์สุดขั้วเพื่อชี้ให้เห็นว่าความมีคุณธรรมของผู้คนนั้นบอบบางเท่าใด แล้วก็ทุกคนมีประสิทธิภาพที่จะเปลี่ยนเป็นคนวิปลาสเมื่อถูกบีบคั้นมากพอ
ในด้านจิตวิทยา “โจ๊กเกอร์ โฟลีย์” บางทีอาจสะท้อนถึงการเกิดที่เรียกว่า “การบ้าร่วม” ซึ่งบุคคลสองคนหรือมากยิ่งกว่านั้นแชร์อาการทางด้านจิตเหมือนกัน โจ๊กเกอร์พากเพียรลากผู้คนไปสู่ความบ้าคลั่งของเขา อีกทั้งด้วยการบีบบังคับและก็จิตวิทยา เหมือนกันกับที่เขาทำกับฮาร์ลีย์ ควินน์ โจ๊กเกอร์เห็นว่าโลกของเขาเป็นข้อเท็จจริง และก็มานะทำให้บุคคลอื่นเห็นด้วยกับทัศนคติของเขา
ไม่ใช่ด้วยตรรกะ แม้กระนั้นด้วยความบ้าคลั่งแล้วก็ความร้ายแรง
ผู้แสดงของโจ๊กเกอร์เองสามารถถูกคิดว่าเป็นผู้แทนของ “เงา” ในแนวคิดจิตวิทยาของ Carl Jung ซึ่ง โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของจิตใจมนุษย์ที่หลบเร้นรวมทั้งมีด้านมืดรวมทั้งสิ่งที่พวกเราไม่ยอมรับหรือกดทับ โจ๊กเกอร์เป็นการแสดงของ “เงา” ที่หลุดพ้นจากการควบคุม เขาแสดงถึงด้านที่มนุษย์อุตสาหะไม่ยอมรับ โจ๊กเกอร์ปฏิเสธความมีระเบียบหรือคุณธรรม แม้กระนั้นเห็นด้วยความโกลาหลแล้วก็ความร้ายแรงเป็นภาวะธรรมชาติมนุษย์ เขาใช้ความไม่เต็มบาทของเขาเป็นอาวุธสำหรับการทำลายความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม โดยมั่นใจว่าทุกคนล้วนมีด้านมืดที่รอที่จะถูกปล่อย
ในระหว่างที่กางทแมนยึดมั่นกฎที่ต้องปฏิบัติและก็จริยธรรม โจ๊กเกอร์กลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามที่เพอร์เฟ็ค เขามั่นใจว่ากางทแมนเองก็มีความบ้าคลั่งเหมือนกัน แค่เพียงหลบซ่อนมันอยู่ภายใต้ หน้ากากของความชอบธรรม โจ๊กเกอร์บากบั่นบังคับให้กางทแมนสารภาพด้านมืดของตนเอง ทำให้การต่อสู้ระหว่างทั้งคู่เป็นมากกว่าการต่อสู้ระหว่างความดีเลิศและก็ความชั่วช้าสารเลว แต่ว่ามันเป็นการต่อสู้ทางด้านจิตวิทยาระหว่างด้านสว่างและก็ด้านมืดในตัวมนุษย์เอง ในที่สุดแล้ว แนวความคิด โจ๊กเกอร์ ยังคงเป็นการสะท้อนถึงธรรมชาติมนุษย์ที่สลับซับซ้อนและก็บอบบาง โจ๊กเกอร์มิได้เป็นเพียงแต่คนร้ายที่คุ้มคลั่งด้วยเหตุว่าความไร้เหตุผลของเขาเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นเขาเป็นผู้แทนของสิ่งที่มนุษย์ทุกคน
บางทีอาจเป็นไปได้ ซึ่งถ้าหากว่าถูกบีบคั้นให้ถึงจุดสูงสุด เมื่อพวกเรายังคงขยายความเกี่ยวกับแนวความคิด โจ๊กเกอร์ พวกเราจะมีความคิดเห็นว่าความบ้าคลั่งที่โจ๊กเกอร์มานะปลูกฝังรวมทั้งดึงคนรอบกายเขาเข้าไปในวังวนนี้ เป็นการตรวจธรรมชาติของความสับสนระส่ำระสายในสังคมยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง ความกลัว รวมทั้งความร้ายแรง โจ๊กเกอร์รวมทั้งสังคมปัจจุบันนี้ หนึ่งในความหมายที่ลึกซึ้งของโจ๊กเกอร์เป็นเขาเป็นผู้แทนของสังคมที่บ้า โจ๊กเกอร์มิได้เป็นเพียงแต่ผู้แสดงคนเดียวที่ประพฤติตัวคลุ้มคลั่งเพียงลำพัง แม้กระนั้นเขาสำเร็จผลิตของสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ความแตกต่าง รวมทั้งการเช็ดกกดขี่
สังคมที่ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาข้างในตนเองได้ สร้างบุคคลอย่างโจ๊กเกอร์ขึ้นมา
ในรูปภาพยนตร์ Joker (2019) โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ ที่แสดงนำโดย Joaquin Phoenix ความบ้าคลั่งของโจ๊กเกอร์ถูกเคลื่อนโดยความเจ็บส่วนตัวที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับทางสังคมที่เขาพบเจอ การเช็ดกไม่ยอมรับ ความจน รวมทั้งการไม่มีความถูกต้องในระบบทำให้ผู้แสดงของเขาแปลงเป็นผู้แทนของคนที่มีความคิดว่าตัวเองถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหน้าเบื้องหลัง โจ๊กเกอร์ก็เลยมิได้เป็นเพียงแต่คนร้ายที่คุ้มคลั่งด้วยเหตุว่าเหตุผลส่วนตัว แต่ว่าเขาเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่สร้างคนวิกลจริตออกมา โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ กับความเกี่ยวเนื่องเชิงสังคม หรือ “ความบ้าคลั่งร่วม” มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปรากฏที่เกิดขึ้นในสังคม
ซึ่งความบ้าคลั่งของคนหนึ่งสามารถแพร่ระบาดไปยังผู้อื่นผ่านการมีความสัมพันธ์ทางด้านสังคม โจ๊กเกอร์ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนความบ้าคลั่งในสังคม ไม่เพียงแค่เย้ายวนใจผู้คนที่มีความเปราะบางหรือความชิงชังอยู่แล้วให้เปลี่ยนเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กับเขา แต่ว่าเขายังสร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนมีความคิดว่าความบ้าคลั่งนั้นเป็นทางออกจากความทุกข์ใจ เมื่อโจ๊กเกอร์ทำให้เกิดความวุ่นวายในเมือง ก็อตแธม ไม่ว่าจะเป็นการคิดแผนจู่โจมผู้คนหรือการปลุกระดมให้กำเนิดความสับสนวุ่นวาย
เขาทำให้สังคมที่มีความเปราะบาง อยู่แล้วมีการลุกฮือ สังคมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ความท้อใจ รวมทั้งความดิ้นรนแปลงเป็นเสมือนเชื้อไฟที่โจ๊กเกอร์สามารถจุดติดได้อย่างสะดวกสบาย พวกเราจะเห็นได้ชัดในรูปภาพยนตร์ Joker (2019) ว่าเมื่อโจ๊กเกอร์ ก่อเหตุอาชญากรรมในที่ส่วนรวม ความประพฤติของเขาเปลี่ยนเป็นแรงดลใจให้คนส่วนมากยืนขึ้นมาต้านรวมทั้งก่ออลหม่าน ความบ้าคลั่งแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคน อย่างกับว่าโจ๊กเกอร์แปลงเป็นเครื่องหมายของการต้านทานที่ขาดเหตุผล เขาปลดปล่อยให้สังคมเปิดเผยความบ้าคลั่งที่หลบซ่อนอยู่ลึกในจิตใจของคนสามัญออกมา
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างโจ๊กเกอร์รวมทั้งกางทแมนในมุมมองโฟลีย์
เมื่อพิจารณาถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างโจ๊กเกอร์แล้วก็กางทแมนในบริบทของ โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ กางทแมนบางทีอาจถูกคิดว่าเป็นคนที่ยังคงต่อสู้กับความบ้าคลั่งในตนเอง เขาต่อสู้กับความมืดมนรวมทั้งความบ้าคลั่งที่โจ๊กเกอร์เพียรพยายามดึงเขาไปสู่ โจ๊กเกอร์เอง เห็นว่ากางทแมนมีความสามารถที่จะแปลงเป็นเสมือนเขา แล้วก็ตลอดระยะเวลาที่เขาพากเพียรยุกางทแมน โจ๊กเกอร์ อยากได้เพียงแต่อย่างเดียว: ทำให้กางทแมนเห็นด้วยความบ้าคลั่งและก็ปล่อยมันออกมา ในระหว่างที่โจ๊กเกอร์ เป็นผู้แทนของการปลดปล่อยความบ้าคลั่งแล้วก็ไร้เหตุผล กางทแมนกลับยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แล้วก็คุณธรรม เขาไม่ยอมรับที่จะล้มเหลวต่อแรงกดดันด้านจิตวิทยาที่โจ๊กเกอร์พากเพียรพรีเซ็นท์ ถึงแม้เขาจะอยู่ท่ามกลางความมืดมน แม้กระนั้นกางทแมนก็เลือกที่จะไม่ปลดปล่อยให้ความบ้าคลั่งครอบครองเขา
ผลสรุป: โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ ในฐานะกระจกสะท้อนความเป็นคน ในตอนท้าย แนวความคิด ทำให้พวกเรามีความเห็นว่าโจ๊กเกอร์มิได้เป็นเพียงแต่ผู้แสดงที่คลั่งด้วยเหตุว่าความร้ายแรงหรือความไร้เหตุผล แต่ว่าเขาเป็นผู้แทนของด้านมืดที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เขาสะท้อนถึงความเปราะบางของจิตใจ รวมทั้งความน่าจะเป็นไปได้ที่มนุษย์จะหลงไปสู่ความบ้าคลั่งเมื่อถูกบีบคั้นหรือถูกขับ โดยความเจ็บ โจ๊กเกอร์ precinct52 ไม่เพียงแค่ยุให้คนอื่นๆร่วมความบ้าคลั่งของเขา แต่ว่าเขายังเผยข้อเท็จจริงที่น่าสยดสยองว่าสังคมแล้วก็มนุษย์ทุกคนต่างมีสมรรถนะที่จะเปลี่ยนเป็นคนวิกลจริตในเหตุการณ์ที่สมควร การต่อสู้ของกางทแมนกับโจ๊กเกอร์ก็เลยเป็นการต่อสู้ที่ไม่ใช่เพียงแค่คุณความดีแล้วก็ความเหลวแหลก แต่ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อควบคุมด้านมืดที่หลบอยู่ในจิตใจของทุกคน
ขยายถัดไป พวกเราจะพบว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การสะท้อน
ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างผู้แสดงในโลกของโจ๊กเกอร์ แม้กระนั้นยังสามารถเป็นบทเรียนที่สะท้อนถึงสภาพสังคม รวมทั้งจิตใจ ของคนเรา ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความบ้าคลั่งของโจ๊กเกอร์เปลี่ยนเป็นผู้แทนของความไม่มั่นคง ในโลกที่พวกเราทุกคนอาศัยอยู่ แล้วก็มันสะท้อนให้มองเห็นถึงความไม่พอดีในด้านจิตวิทยาของพวกเราแต่ละคน โจ๊กเกอร์ในฐานะผู้แทนของระบอบอนาธิปไตย โจ๊กเกอร์ในหลายๆเวอร์ชัน มักถูกพรีเซ็นท์ในฐานะผู้ก่อให้เกิดเหตุร้ายด้านจิตวิทยาและก็หัวหน้าการล้มล้างระเบียบปฏิบัติของสังคม เขามิได้พอใจการมีไว้ในครอบครองอำนาจด้านการเมือง หรือสินทรัพย์ดังคนร้ายทั่วๆไป แต่ว่าเขาอยากปล่อยความวุ่นวายออกมาในโลก โจ๊กเกอร์มั่นใจว่าทุกคนมีสมรรถนะที่จะแปลงเป็น “คนวิกลจริต” ได้หากว่าพวกเขาถูกกระตุ้นอย่างเหมาะควร
ในมุมมองนี้ “โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ” มิได้เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แม้กระนั้นเป็นกลไกด้านสังคมที่ทำให้คนเริ่มเสนอคำถามกับกฎระเบียบที่มีอยู่ โจ๊กเกอร์เป็นผู้แทนของระบอบอนาธิปไตย เขาแสดงให้เห็นว่าความอลหม่านไม่ใช่สิ่งที่จำต้องถูกกลัว โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ แต่ว่ามันเป็นสถานการณ์ซึ่งสามารถปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากกรอบรวมทั้งกฎที่สังคมบังคับใช้กับพวกเขา ภาพนี้ สะท้อนแจ่มชัดใน The Dark Knight (2008) เมื่อโจ๊กเกอร์บอกกางทแมนว่า “It’s not about money. It’s about sending a message: everything burns.” โจ๊กเกอร์มิได้พึงพอใจในความมั่งมีหรือสถานะ เขาอยากได้เพียงแต่ให้สังคมตกลงไปในความบ้าคลั่ง และก็ทำลายระเบียบปฏิบัติทั้งปวงเพื่อผู้คนได้เปิดเผยความจริงในตนเองออกมา — ข้อเท็จจริงที่โจ๊กเกอร์มั่นใจว่ามันเป็นความบ้าคลั่งรวมทั้งความไร้เหตุผล