The Last Mimzy (2007) เต็มเรื่อง นอกเหนือจากคุณค่าด้านความบันเทิงแล้ว The Last Mimzy ยังมอบสิทธิประโยชน์ด้านวัฒนธรรมและการศึกษาอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นช่องทางสำหรับผู้ชมรุ่นเยาว์ในการสำรวจแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และความสำคัญของความอยากรู้อยากเห็น กระตุ้นให้ผู้ชมไตร่ตรองถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของพวกเขาบนโลกในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความซาบซึ้งต่อสิ่งมหัศจรรย์ของโลกธรรมชาติ การผสมผสานแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อย่างแนบเนียนของภาพยนตร์เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับการอภิปรายในหัวข้อเหล่านี้ภายในสภาพแวดล้อมทางการศึกษา
การอุทธรณ์เหนือกาลเวลา: ความน่าดึงดูดเหนือกาลเวลาของ The Last Mimzy (2007) เต็มเรื่อง อยู่ที่ความสามารถในการสะท้อนกลับจากรุ่นสู่รุ่น การมุ่งเน้นไปที่ธีมสากลของจินตนาการในวัยเด็ก ความผูกพันในครอบครัว และความลึกลับอันน่าทึ่งของจักรวาล ทำให้มั่นใจได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงมีความเกี่ยวข้องและสนุกสนานสำหรับผู้ชมทุกวัย เสน่ห์อันยาวนานของภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลให้มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่เหมาะกับครอบครัวและการเล่าเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์
เพลงประกอบและบรรยากาศ: เพลงประกอบภาพยนตร์ที่แต่งโดย Howard Shore ช่วยเติมเต็มบรรยากาศอันน่าหลงใหลของ The Last Mimzy ดนตรีประกอบของชอร์ช่วยเพิ่มการสะท้อนอารมณ์ในช่วงเวลาสำคัญๆ ซึ่งส่งผลต่อผลกระทบโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ การใช้ดนตรีร่วมกับองค์ประกอบภาพสร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำไปกับการเล่าเรื่องในแง่มุมที่มหัศจรรย์และแตกต่างจากโลกอื่น
การมีส่วนร่วมของแฟนๆ และชุมชน: *การติดตามลัทธิมักส่งผลให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นชุมชนในหมู่แฟนๆ ที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ความรักอันยั่งยืนต่อ The Last Mimzy สะท้อนให้เห็นในชุมชนออนไลน์ ฟอรัมของแฟนๆ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ผู้ที่ชื่นชอบมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พวกเขาชื่นชอบ ทฤษฎี และผลกระทบของภาพยนตร์ที่มีต่อชีวิตของพวกเขา ความรักที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีส่วนช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
The Last Mimzy (2007) เต็มเรื่อง
อิทธิพลต่อภาพยนตร์ที่เหมาะกับครอบครัว: แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้นำบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่ The Last Mimzy ก็ทิ้งร่องรอยไว้ในภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับครอบครัว การผสมผสานที่ประสบความสำเร็จระหว่างนิยายวิทยาศาสตร์ แฟนตาซี และการเล่าเรื่องจากใจจริงได้มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์ต่อๆ ไปที่ต้องการดึงดูดผู้ชมทุกวัยด้วยการเล่าเรื่องเชิงจินตนาการ มรดกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่อยู่ที่ข้อดีของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนสนับสนุนภูมิทัศน์ที่กว้างขึ้นของนิยายวิทยาศาสตร์ที่เน้นครอบครัวด้วย
บทสรุป: The Last Mimzy ยังคงสร้างเสน่ห์ให้กับผู้ชมด้วยการผสมผสานระหว่างความลึกลับ จินตนาการ และธีมที่กระตุ้นความคิด ผลกระทบทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืนปรากฏชัดจากความเกี่ยวข้องข้ามรุ่น อิทธิพลที่มีต่อภาพยนตร์ที่เป็นมิตรกับครอบครัว และการชื่นชมอย่างต่อเนื่องจากแฟน ๆ ในฐานะการเดินทางในโรงภาพยนตร์ที่เฉลิมฉลองความมหัศจรรย์ในวัยเด็กและความมหัศจรรย์ของการเล่าเรื่อง The Last Mimzy ยังคงเป็นอัญมณีล้ำค่าในขอบเขตของนิยายวิทยาศาสตร์แนวครอบครัว
แน่ๆว่า The Last Mimzy เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีวิทยาศาสตร์ที่ดัดแปลงแก้ไขมาจากเรื่องสั้นที่เฉลี่ยวฉลาดล้ำรวมทั้งน่าระทึกใจของ ลูอิส แพดเจ็ทท์ ซึ่งผมได้อ่านตั้งแต่เด็ก ผมพึงพอใจสาระของเรื่องเกี่ยวกับสมองเล็กๆของเด็กที่เปิดกว้างแก่อิทธิพลรวมทั้งการศึกษาทุกต้นแบบ แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใด ภาพยนตร์ประเด็นนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความสนุกสนานร่าเริงในครอบครัว
แม้ว่าจะมุ่งสร้างความสนุกสนานเป็นหลัก แม้กระนั้น The Last Mimzy
ก็อ้างอิงเรื่องจริงด้านวิทยาศาสตร์โดยมีที่ปรึกษา พิเศษเป็นผู้ชำนาญทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวพัน ดร.ไบรอัน กรีน คุณครูประจำวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เห็นด้วยว่า โดยด้านทฤษฎีแล้ว
การเดินทางผ่านมิติเวลาจะเกิดขึ้นผ่านการปรากฏรูหนอนรวมทั้งหลุมดำ (ดร.กรีน รับบทบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งในรูปภาพยนตร์ด้วย) ส่วน ดร.ซูซาน สมอลลี่ คุณครูประจำวิชากรรมพันธุ์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย UCLA ก็สารภาพว่าถ้าเกิดมนุษย์มิได้ใช้ความประพฤติที่เรียกว่าไม่รู้เดียงสาเป็นระยะเวลานานหลายชั่วลูกชั่วหลาน ความประพฤตินี้ก็บางทีอาจหายไปจากมนุษย์ รวมทั้งเป็นได้ว่ายีนที่มีความบริสุทธิ์จะสามารถตอบแทนได้
นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตอันไกลมากได้กำหนดจุดมุ่งหมายที่จะหลบหลีกภัยอันตรายทางระบบนิเวศที่รุนแรง
และก็ส่งเครื่องใช้ไม้สอยไฮเทคปริมาณไม่มากมายที่มีลักษณะคล้ายกับของเด็กเล่นย้อนเวลากลับไปให้กับซีแอตเทิลในช่วงปัจจุบัน ตรงนี้พวกเขาถูกศึกษาค้นพบโดยเด็กสองคน: Noah Wilder และก็ Emma น้องสาวของเขา ในตอนแรก “ของเล่นเด็ก” นั้นไม่สามารถที่จะรู้เรื่องได้สำหรับพวกมัน เว้นเสียแต่อันที่ดูเหมือนกับว่าเป็นตุ๊กตากระต่าย เด็กๆกุมความลับสำหรับในการศึกษาและทำการค้นพบไว้ไม่ให้บิดามารดารู้
เอ็มมาเริ่มเชื่อมโยงพลังจิตกับกระต่าย โดยตั้งชื่อมันว่า “ไม่มซี่” ซึ่งให้ความรู้ความเข้าใจแก่คุณ เด็กๆได้รับเชาวน์ระดับอัจฉริยะรวมทั้งอำนาจจิต โนอาห์สามารถเทเลพอร์ตวัตถุได้โดยใช้เส้นแสงสีเขียวรูปสี่เหลี่ยมขนาดเท่าการ์ดแล้วก็ฝาหอยสังข์เพื่อควบคุมแมงมุม แม้กระนั้นด้วยลิงก์ของคุณ
เอ็มมาก็เลยปรับปรุงความรู้ความเข้าใจระดับสูงเพิ่มขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนเป็นเพียงคนเดียว คนที่สามารถใช้ “สปินเนอร์” ซึ่งเป็นหินซึ่งสามารถลอยตัวรวมทั้งสร้างสนามพลังได้ เอ็มมาชี้แจงตนเองว่าเป็น “ผู้ได้รับเลือก” แม้กระนั้นตั้งชื่อโนอาห์ว่าเป็น “วิศวกร” โดยที่คุณไม่อาจจะ “สร้างสะพานสู่อนาคต” ได้
บิดามารดาของเด็กแล้วก็แลร์ปรี่ ไวท์ อาจารย์วิทยาศาสตร์ของโนอาห์ ศึกษาและทำการค้นพบเครื่องมือรวมทั้งพลังของเด็กๆโดยไม่ได้ตั้งใจ โนอาห์ทำให้กระแสไฟฟ้าดับทั่วอีกทั้งเมืองวอชิงตันครึ่งเดียว แล้วก็แจ้งเตือน FBI ถึงกิจกรรมของพวกเขา ครอบครัวนี้ถูกข้าราชการพิเศษที่นาธาเนียล บรอดแมนจับตัวเพื่อสืบสวน Mimzy ถูกกล่าวมาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประดิษฐ์โดยใช้ที่นาโนเทคโนโลยีที่สร้างโดย Intel
ไทยเธียเตอร์เสนอ precinct52 : ไม่มซี่…กล่องอัศจรรย์จากต่างดาว”กล่องแปลกที่บังเอิญเจอ มิได้เป็นเพียงแต่กล่องปกติ แต่ว่าเต็มไปด้วยของเด็กเล่นอัศจรรย์ซึ่งสามารถระบุชะตากรรมโลกใบนี้ ร่วมไขปัญหาของกล่องลึกลับนี้ ในรูปภาพยนตร์ไซไฟแฟนตาซีสำหรับเด็กเรื่อง ‘The Last Mimzy: ไม่มซี่…กล่องน่าพิศวงจากต่างดาว’
กล่องสีดำลึกลับที่บังเอิญเจอ
ไม่เพียงแต่เย้ายวนใจ ‘โนอาห์’ และก็ ’เอ็มม่า’ ให้นำกลับไปอยู่ที่บ้าน แม้ชีวิตของสองญาติยังจำต้องแปรไป เมื่อของเด็กเล่นที่อยู่ในทำให้ทั้งสองมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ ความรู้ความเข้าใจน่าพิศวง แม้กระนั้นซ่อนเร้นความน่าขนลุกทำให้รัฐบาลเข้ามาตรวจตรา ก่อนศึกษาและทำการค้นพบว่า ‘ไม่มซี่’ เป็นตุ๊กตากระต่ายตัวท้ายที่สุด ที่ถูกส่งตัวมาจากอนาคตเพื่อป้องกันโลกใบนี้
‘The Last Mimzy’ เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟแฟนตาซี ที่ปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงจากเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากการที่จะละลานตาด้วยเคล็ดวิธีพิเศษที่ประดิษฐ์โลกที่จินตนาการได้อย่างเหมือนจริง สะท้อนมุมมองน่าดึงดูดเกี่ยวกับธรรมชาติ แล้วก็ค่าความเป็นคน ที่จะช่วยรักษาโลกใบนี้ให้ดำรงอยู่ถัดไป
ด้านแอริค้าง สุผู้หญิง คัมมิ่งส์ หรือแอปรี่ KPN นักร้อง เปิดเผยว่า ถูกใจหนังไซไฟแฟนตาซี เพราะเหตุว่าทำให้มองโลกกว้างขึ้น ปรับปรุงจินตนาการ รวมทั้งสนุกสนานด้วย
ร่วมไขปัญหากล่องของเด็กเล่นลึกลับ พร้อมเป็นอันมากดวงใจให้สองลูกพี่ลูกน้องช่วยเหลือมนุษยชาติได้เสร็จใน ‘The Last Mimzy: ไม่มซี่…กล่องน่าพิศวงจากต่างดาว’ ทางไทยเธียเตอร์ 22.00 น. คืนวันนี้ ทางไทยพีบีเอส
นอกเหนือจากเรื่องราวเชิญติดตาม ‘The Last Mimzy’ มีดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่เพราะ ด้วยเหตุว่าได้ Howard Shore นักแต่งเพลงที่เอารางวัลออสการ์จากหนังสามภาคเรื่อง ‘The Lord of the Ring’ มาแต่งดนตรีประกอบ
สรุป The Last Mimzy ผลิตมาจากเรื่องสั้นไซไฟมีชื่อของ Lewis Padgett
เล่าราวของเด็กสองผู้ที่ศึกษาค้นพบกล่องลึกลับที่ใส่เครื่องไม้เครื่องมือแปลกๆที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นของเล่น ในเวลาที่เด็กๆเล่นกับ “ของเด็กเล่น” กลุ่มนี้ รวมทั้งกระต่ายยัดนุ่นชื่อไม่มซี่ พวกเขาก็เริ่มแสดงระดับเชาวน์ที่สูงขึ้นเรื่อย(นิวไลน์ซีนีมา)
เด็กๆโนอาห์แล้วก็เอ็มมา (คริส โอนีลแล้วก็ไรอันนอน ลีห์ ไรน์) เก็บงำความลับแคชไว้ไม่ให้บิดามารดาของพวกเขา (ทิโมธี ฮัตตันแล้วก็โจลี ริชาร์ดสัน) แม้กระนั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับสิ่งที่พิเศษบางสิ่งมา หินหมุนแล้วก็ทอภาพสามมิติ ตุ๊กตากระซิบบอกกับเอ็มม่า ปรากฏให้มองเห็นและก็ทราบทั้งหมดทั้งปวง
สุดท้ายพวกเราก็ได้ความนึกคิดรากฐานของ The Last Mimzy
ถ้าเกิดมนุษย์เราหยุดมองดูรอบกายด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง จะมีความเห็นว่ามีหลายชนิดที่น่าวิตกกังวล ไม่ใช่แค่ประเด็นการเมือง แต่ว่ายังมีเรื่องมีราวของสังคมด้วย เดี๋ยวนี้พวกเราถือวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ไว้ตลอดระยะเวลา รวมทั้งถูกมันรุกราม เด็กๆหมกมุ่นอยู่กับเครื่องเกม, ทีวี แล้วก็อินเตอร์เน็ท แต่ละบ้านเปิดทีวีตรงเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน
แม้ว่าจะปิดเสียงไว้ก็ตาม หน้าจอวิดีโอมีอยู่ทุกแห่งหน ข่าวมีแต่ว่าเรื่องความตาย เสียงเครื่องใช้สอยอิเล็กทรอนิกส์ก่อกวนชีวิตพวกเรา อีกทั้งข้างนอกแล้วก็ข้างใน หูพวกเราเริ่มเบิกกว้าง เครื่องใช้ไม้สอยอิเล็กทรอนิกส์แผดเสียงเรียกพวกเราตลอดระยะเวลา แล้วพวกเราก็เริ่มแยกตัวออกจากกันอย่างช้าๆเมื่อความห่างเหินนั้นดำเนินไปในตอนช่วงเวลาหนึ่ง พวกเราบางทีอาจไม่ได้อยากต้องการความบริสุทธิ์ในจิตใจอีกต่อไป ผมมั่นใจว่าถ้าเกิดเป็นแบบงั้น มนุษย์เรากำลังตกอยู่ในปัญหาใหญ่
จุดเริ่มของ The Last Mimzy (2007) เต็มเรื่อง ย้อนไปตั้งแต่ปี 1943 เมื่อนักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์มีชื่อ ลูอิส แพดเจ็ทท์ (นามแฝงของคู่สมรส เฮนรี่ คัทเนอร์ แล้วก็ ซี แอล มัวร์) เผยแพร่เรื่องสั้นชื่อ Mimzy Were The Borogroves ในหนังสือรวมเรื่องสั้น Astounding เรื่องราวเรียบง่ายเกี่ยวกับเด็กสองผู้ที่ได้เจอกล่องลึกลับแปลงเป็นแรงจูงใจของภาพยนตร์เรื่อง The Last Mimzy สุดท้าย
เอ็มมาเล่าถึงใจความอันไม่ดีจากไม่มซี: ไม่มซีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยถูกส่งไปในอดีตกาลก่อนหน้าคุณ แม้กระนั้นไม่มีผู้ใดสามารถกลับไปอยู่บ้านเวลาเดิมได้ เพราะเหตุว่าพวกเขาขาด “วิศวกร” ราวกับโนอาห์ และก็ช่วงนี้ไม่มซีคนท้ายที่สุด นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งคืนได้ กำลังเริ่มเสื่อมสภาพ เพื่อคุ้มครองปกป้องอนาคต Mimzy ต้องได้รับแบบอย่าง DNA ของผู้คนที่ไม่เสียหายเพื่อปรับแต่งความทรุดโทรมที่เกิดขึ้นอยู่กับ DNA จากภัยพินาศทางนิเวศวิทยา FBI ไม่เชื่อพวกเขา โนอาห์รวมทั้งเอ็มมาก็เลยใช้พลังของพวกเขาเพื่อหลบซ่อน ไม่มซี่ดูดซึมน้ำตาจากเอ็มมาซึ่งมีดีเอ็นเอของคุณอยู่ ไม่มซี่กลับไปสู่อนาคตผ่านพอเพียงร์ทัลในตอนที่โนอาห์ผลิตขึ้นโดยใช้ของเด็กเล่น
แลร์รีซึ่งมองเห็นไม่มซีออกมาจากของขวัญไป พูดว่าเขามองเห็น “จำนวน” ซึ่งก็คือความฝันก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาที่เขามีซึ่งเกี่ยวพันกับเขาเกี่ยวกับลอตเตอรีที่ถูกรางวัล: เขาเคยพลาดไปก่อนหน้าที่ผ่านมาโดยไม่เคยซื้อตั๋วเลย ในอนาคต Mimzy จะให้ข้อมูลทางพันธุกรรมที่จำเป็นต้องสำหรับการฟื้นฟูมนุษยชาติอีกทั้งทางร่างกายและก็จิตใจ โดยที่เอ็มม่าได้รับสมญานามว่า “แม่ของพวกเรา” โดยผู้คนที่อนาคต